ก้าวใหม่ในประวัติศาสตร์ 62 ปีของ Grand Seiko (แกรนด์ ไซโก) มาถึงแล้วด้วยการนำเสนอ Grand Seiko Kodo Constant-force Tourbillon (แกรนด์ ไซโก โคโดะ คอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทูร์บิญอง) เรือนเวลาจักรกลระดับซับซ้อนรุ่นแรกของ Grand Seiko หัวใจของเรือนเวลารุ่นนี้ คือ นวัตกรรมเครื่องจักรกลรูปแบบเฉพาะตัวที่มอบความเที่ยงตรงด้วยเสถียรภาพระดับสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเรือนเวลา Grand Seiko โดยเป็นการรวมกลไกทูร์บิญองและกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ เข้าเป็นหนึ่งยูนิตบนแกนเดียวกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประดิษฐ์เครื่องบอกเวลา เรือนเวลารุ่นนี้ถูกให้ชื่อว่า Kodo (โคโดะ) ซึ่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงการเต้นของหัวใจ ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของการเคลื่อนไหวและเสียงการทำงานของกลไกที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เรือนเวลาระดับปฏิวัติวงการรุ่นนี้จึงแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาทั้งทางเสียงและภาพ ด้วยดีไซน์แบบโอเพน-เวิร์ก และฝาหลังกรุกระจกแซพไฟร์ ที่เผยให้เห็นความงดงามของกลไกอย่างชัดเจน สิ่งโดดเด่นที่สุดของเรือนเวลารุ่นนี้ก็คือ การรวมกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ซึ่งมอบแรงขับเคลื่อนอย่างคงที่ และกลไกทูร์บิญอง ซึ่งมอบความเที่ยงตรงในระดับสูงสุด เข้าไว้ด้วยกัน ในดีไซน์ที่สอดคล้องควรคู่กับคุณค่าของ Grand Seiko ผู้นำอัจฉริยภาพทางเทคนิคมาอยู่ในเรือนเวลาที่งามสง่าและเหมาะกับการสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง
คาลิเบอร์ 9ST1 มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและการออกแบบแต่เข้าใจได้ไม่ยาก การรวมกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ และกลไกทูร์บิญอง เข้าเป็นหนึ่งยูนิตบนแกนเดียวกันเช่นนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะไม่ต้องมีจักรหรือส่วนประกอบอื่นใดระหว่าง 2 กลไกนี้ จึงไม่มีการสูญเสียหรือเปลี่ยนแปลงแรงบิดที่ส่งจากกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ไปสู่จักรกลอก รูปแบบเช่นนี้ส่งผลให้กลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ สร้างแรงคงที่ได้นานขึ้นด้วยระยะเวลาถึง 50 ชั่วโมง และทำให้ระยะแกว่งตัวของจักรกลอกมีความเสถียรยิ่งขึ้น คุณลักษณะเหล่านี้ช่วยให้การทำงานของเครื่องมีความเที่ยงตรงแม่นยำอยู่เสมอ และที่สำคัญยิ่งสำหรับ Grand Seiko ก็คือ สามารถลดขนาดของตัวเครื่องให้เล็กลงได้จึงทำให้สามารถนำมาใช้กับความงดงามตามแบบฉบับของ Grand Seiko นั่นก็คือ เรือนเวลาที่ให้ความโดดเด่นในขณะสวมใส่และความสบายบนข้อมือได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นวัตกรรมแห่งความแม่นยำ ความงดงาม และเสียง
การรวมกลไกทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันทำให้เกิดภาพอันน่าประทับใจ กรงทูร์บิญองที่อยู่ชั้นในเคลื่อนหมุนรอบตนเองอย่างราบรื่นโดยมีจักรกลอกแกว่งขยับอย่างต่อเนื่องด้วยความถี่ 8 ครั้งต่อวินาที ในขณะที่กรงคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ที่อยู่ชั้นนอกจะเคลื่อนหมุนที่จังหวะละ 1 วินาที เสียงจากการปล่อยจักรและจากแรงกระตุ้น 1 ครั้งต่อวินาทีของกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ประสานกับจังหวะของภาพที่ปรากฏจะสร้างลักษณะดุจการเต้นของหัวใจที่น่าประทับใจยิ่งสู่สายตาและโสตสัมผัส เสียงเสน่ห์ที่ทรงพลังแต่อ่อนโยนนี้ถูกปรับตั้งให้เป็นเสียงโน้ตตัวที่ 16 หรือ เซมิ-ควอฟเวอร์ ซึ่งสามารถกระทำได้เพราะ 9ST1 เป็นเครื่องที่มีความถี่การทำงานสูงที่สุด*ในบรรดาเครื่องนาฬิกาที่มีกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทั้งหมด เท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นมา
*ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2022 จากการค้นคว้าของ Grand Seiko
2 วัสดุที่ผสมผสานอย่างลงตัว
ตัวเรือนถูกสร้างขึ้นจาก แพลทินัม 950 และ บริลเลียนท์ ฮาร์ด ไทเทเนียม (ไทเทเนียมชนิดเคลือบแข็งและมีความเรืองรอง) ของ Grand Seiko เพื่อให้ได้มาซึ่งความงามที่คงทน พื้นที่ต่าง ๆ บนตัวเรือนซึ่งสร้างขึ้นจากวัสดุทั้ง 2 ชนิดได้รับการขัดเงาดุจกระจกเงาสลับกับการปัดลายเส้นละเอียดแบบแฮร์ไลน์ โดยทั้ง 2 กระบวนการถูกกระทำด้วยมือของช่างฝีมือทักษะสูงเพื่อให้เกิดความงดงามกลมกลืนในทุกมุมมอง จุดบรรจบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของวัสดุตัวเรือนทั้ง 2 ชนิดอยู่ที่ส่วนปลายของขาตัวเรือนอันเป็นตำแหน่งบรรจบของช่องว่างขนาดเล็กระหว่างแนวขาของวัสดุทั้งสองซึ่งช่วยเพิ่มความเบาและมอบรูปลักษณ์แบบเฉพาะตัวให้กับดีไซน์ในภาพรวม
แสง เงา และพื้นที่
ด้วยการรวม 2 ชนิดกลไกสำคัญเข้าไว้ด้วยกันทำให้คาลิเบอร์ 9ST1 มีที่ว่างภายในตัวเรือนและมีพื้นที่เพียงพอให้แสงทะลุผ่านทั้งจากฝั่งด้านหน้าและด้านหลังของตัวเรือนเพื่อเผยให้เห็นความงดงามของงานตกแต่งที่กระทำด้วยมือ ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนของแสงและเงาซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งสุนทรียศาสตร์อันงดงามของ Grand Seiko จึงสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ผ่านการไล่เฉดสี เหลี่ยมมุม และพื้นผิว ส่วนประกอบหลักแต่ละชิ้นถูกตกแต่งด้วยมืออย่างประณีตด้วยเทคนิคที่หลากหลายเพื่อให้ตัวเครื่องในภาพรวมมีความสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยประกายอันงดงามซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ Grand Seiko