นอกเหนือจากความสวยงาม สง่างามและชวนให้หลงใหลของหน้าปัดแบบใหม่แล้ว อีกหนึ่งความโดดเด่นที่มีอยู่ใน SLGH005 คือ การติดตั้งกลไกอัตโนมัติรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า 9SA5 ที่มาพร้อมกับการทำงานในระดับความถี่ระดับสูง และยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 80 ชั่วโมง อีกทั้ง SLGH005 ยังมอบความทนทาน และความเที่ยงตรงในระดับสูงสุดในทุกสภาพการใช้งาน และอะไรล่ะคือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ?
พื้นหน้าปัดที่ผ่านแบบใหม่ที่มาพร้อมกับแรงบันดาลใจของลวดลายที่มาจากต้นเบิร์ชสีขาวที่เติบโตและอยู่บนพื้นที่รอบๆ จังหวัดอิวาเตะ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของ Grand Seiko เพราะเป็นที่ตั้งของสตูดิโอ ชิสุกุอิชิ ที่ซึ่ง SLGH005 ได้รับการผลิตขึ้น ความโดดเด่นคือความสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 80 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ TAKUMI (ทาคูมิ) ผู้ที่อุทิศตนในการแสวงหาความยอดเยี่ยมในการเป็นช่างฝีมือระดับสูง ให้การระลึกถึงอยู่เสมอ กลไกอัตโนมัติในรหัส 9SA5 มีพลังงานสำรองโดยประมาณอยู่ที่ 80 ชั่วโมง มีความเที่ยงตรง +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน (ค่าที่ได้จากการทดสอบใน Time Lab ของ Grand Seiko Studio Shizukuishi) ตัวเรือนได้รับการผลิตจากสแตนเลสสตีล และมีขนาดตัวเรือน : เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร และมีความหนา 11.7 มิลลิเมตร
4 แนวคิดในการออกแบบที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ 9SA5
จักรกรอกแบบ Free-Sprung Balance
ด้วยเป้าหมายในการรักษาความเที่ยงตรงให้คงที่ในระยะเวลายาวนาน กลไก 9SA5 จึงถือเป็นครั้งแรกที่ Grand Seiko นำจักรกรอกรุ่นใหม่แบบ Free-Sprung Balance มาใช้ ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญต่อความเที่ยงตรงของกลไก ตัวจักรกรอกจะประกอบด้วยตัวจักรและสปริงสายใย แต่สำหรับระบบ Free-Sprung Balanceนั้น การควบคุมความเที่ยงตรงในการทำงานจะถูกปรับตั้งผ่านทางน็อตตัวเล็กๆ เรียกว่า Balance Screw ทีอยู่ในจักรกรอก นอกจากนั้น สิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใครสำหรับจักรกรอกแบบ Free-Sprung Balance ของ Grand Seiko คือ ระบบกลไกที่ควบคุมการทำงานของจักรกรอก (ความแตกต่างในเรื่องของความเที่ยงตรงจะผันแปรไปตามปริมาณลานที่เหลืออยู่ในสปริงลาน) การทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้จะต้องมีการยึดปลายของสปริงสายใยจักรกรอก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดการหมุน ไป-มา ของจักรกรอก และรวมชุดแกนเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความสะดวกในการปรับแต่งจักรกรอกให้หมุนช้าหรือเร็ว สำหรับสปริงสายใยจักรกรอก จะมีรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่าโอเวอร์คอยล์ (Overcoil) และผ่านการทดสอบและจำลองการทำงานมามากกว่า 80,000 ครั้ง ก่อนที่จะมีการตัดสินใจนำมาใช้ ซึ่งรูปแบบใหม่นี้ถือเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการทำงานที่จะส่งผลต่อความเที่ยงตรงอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนตำแหน่งของนาฬิกา
ชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement
โดยปกติแล้ว จักรกรอกจะมีการแกว่งในระดับ 5-8 ครั้งต่อวินาที แต่สำหรับ 9SA5 กลไกรุ่นนี้อัตราการแกว่งจะอยู่ที่ 10 ครั้งต่อวินาที หรือพูดง่ายๆ คือ การสั่นของจักรกรอกจะเกิดขึ้นในช่วงความเร็วสูง ซึ่งจะมีส่วนในเรื่องของความต้านทานต่อแรงกระแทกที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มความเที่ยงตรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กำลังที่มากขึ้นได้ถูกนำมาใช้กับกลไกรุ่นนี้ และ 9SA5 คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงชุดจักรปล่อยแรง (Escapement) ซึ่งสำหรับชุดจักรปล่อยแรงทั่วไปแล้ว กำลังจะถูกส่งผ่านจากสปริงลานไปยังจักรกรอกผ่านทางจักรปล่อยแรง และชิ้นส่วนที่มีลักษณะคล้ายส้อม (Pallet Fork) ผลที่ได้ก็คือทำให้เกิดความสูญเสียกำลังในระหว่างการส่งผ่านอย่างเห็นได้ชัดเจน สำหรับชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นั้น จะมาพร้อมกับกลไกที่มีการปรับแต่งใหม่ เพื่อควบคุมแรงหมุนในการทำให้จักรกรอกเกิดการเคลื่อนตัวเพื่อไปดันชิ้นส่วนที่เรียกว่า Pallet Stone ซึ่งอยู่ตรงปลายของ Pallet Fork เพื่อส่งกำลังโดยตรงจากจักรปล่อยแรงไปยังจักรกรอก ดังนั้น กำลังที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนจักรกรอกจึงมาจาก 2 ทางคือทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงไม่ทำให้เกิดการสูญเสียกำลังเหมือนกลไกทั่วไป
ตลับลานคู่
แหล่งกำลังของนาฬิกาจักรกลคือ สปริงลานที่อยู่ด้านในของตลับลาน แรงที่เกิดจากการคลายตัวของสปริงลานนั้นจะถูกเปลี่ยนไปเป็นแรงบิดที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนชุดเฟือง สำหรับนาฬิกาจักรกลทั่วไปนั้นจะมีกำลังลานขับเคลื่อนอยู่ประมาณ 2 วันเมื่อสปริงลานถูกขึ้นลานจนเต็ม แต่สำหรับ 9SA5 ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่ขยายขอบเขตของพลังงานสำรองให้อยู่ในระดับ 80 ชั่วโมง สปริงที่มีขนาดยาวขึ้นทำให้กำลังในการขับเคลื่อนกลไกที่นานขึ้น และจำเป็นจะต้องใช้ตลับลานที่ใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกันในการเก็บสปริงลาน แต่สำหรับ 9SA5 ใช้ระบบตลับลานคู่ (Twin Barrel) มีตลับลานขนาดเล็ก 2 ชุดที่ช่วยลดปัญหาในเรื่องพื้นที่ติดตั้งจำกัด การผสมผสานของตลับลานคู่ และการปรับปรุงการส่งกำลังอย่างมีประสิทธิภาพของชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement ทำให้การทำงานตลอด 80 ชั่วโมงของกลไกเต็มไปด้วยประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง
ชุดเฟืองส่งกำลังวางตัวในระนาบเดียวกัน
สำหรับกลไกที่มีความบางถือว่ามีความจำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์นาฬิกาให้มีความสะดวกสบายเวลาที่สวมใส่อยู่บนข้อมือ ถ้าเป้าหมายมีเพียงแค่การผลิตนาฬิกาให้มีขนาดที่บางลงเท่านั้นโดยไม่สนใจประเด็นอื่น เราสามารถที่จะมองข้ามในเรื่องของความทนทานไป เพราะนั่นเท่ากับว่าสามารถที่จะใช้ชิ้นส่วนที่มีขนาดบางลงและลดประสิทธิภาพในเรื่องของการเสียดทาน แต่สำหรับ Grand Seiko ไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ กลไก 9SA5 คือ ผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของกลไกลง ที่จะต้องบรรลุทั้งในเรื่องพลังงานสำรองที่นานในระดับ 80 ชั่วโมง และระดับความถี่ในการทำงานถึง 10 ครั้งต่อวินาที และนี่คือสิ่งที่นำไปสู่การยกระดับการจัดวางของชุดเฟือง โดยชิ้นส่วนของเฟืองจะถูกวางเรียงเป็นระนาบเดียวกันเพื่อช่วยลดปัญหาการทับกันของชุดเฟืองและเพิ่มการทำงานสูงสุดแม้จะอยู่บนพื้นที่จำกัด ผลคือ กลไกรุ่นใหม่นี้มีความบางลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับกับกลไกแบบเดิม
9SA5 ความสำเร็จครั้งใหม่ในโลกแห่งกลไกจาก Grand Seiko
นอกเหนือจากความสวยงาม สง่างามและชวนให้หลงใหลของหน้าปัดแบบใหม่แล้ว อีกหนึ่งความโดดเด่นที่มีอยู่ใน SLGH005 คือ การติดตั้งกลไกอัตโนมัติรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า 9SA5 ที่มาพร้อมกับการทำงานในระดับความถี่ระดับสูง และยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 80 ชั่วโมง อีกทั้ง SLGH005 ยังมอบความทนทาน และความเที่ยงตรงในระดับสูงสุดในทุกสภาพการใช้งาน และอะไรล่ะคือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้?
SLGH005
พื้นหน้าปัดที่ผ่านแบบใหม่ที่มาพร้อมกับแรงบันดาลใจของลวดลายที่มาจากต้นเบิร์ชสีขาวที่เติบโตและอยู่บนพื้นที่รอบๆ จังหวัดอิวาเตะ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของ Grand Seiko เพราะเป็นที่ตั้งของสตูดิโอ ชิสุกุอิชิ ที่ซึ่ง SLGH005 ได้รับการผลิตขึ้น ความโดดเด่นคือความสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 80 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ TAKUMI (ทาคูมิ) ผู้ที่อุทิศตนในการแสวงหาความยอดเยี่ยมในการเป็นช่างฝีมือระดับสูง ให้การระลึกถึงอยู่เสมอ กลไกอัตโนมัติในรหัส 9SA5 มีพลังงานสำรองโดยประมาณอยู่ที่ 80 ชั่วโมง มีความเที่ยงตรง +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน (ค่าที่ได้จากการทดสอบใน Time Lab ของ Grand Seiko Studio Shizukuishi) ตัวเรือนได้รับการผลิตจากสแตนเลสสตีล และมีขนาดตัวเรือน : เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร และมีความหนา 11.7 มิลลิเมตร
4 แนวคิดในการออกแบบที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ 9SA5
จักรกรอกแบบ Free-Sprung Balance
ด้วยเป้าหมายในการรักษาความเที่ยงตรงให้คงที่ในระยะเวลายาวนาน กลไก 9SA5 จึงถือเป็นครั้งแรกที่ Grand Seiko นำจักรกรอกรุ่นใหม่แบบ Free-Sprung Balance มาใช้ ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญต่อความเที่ยงตรงของกลไก ตัวจักรกรอกจะประกอบด้วยตัวจักรและสปริงสายใย แต่สำหรับระบบ Free-Sprung Balanceนั้น การควบคุมความเที่ยงตรงในการทำงานจะถูกปรับตั้งผ่านทางน็อตตัวเล็กๆ เรียกว่า Balance Screw ทีอยู่ในจักรกรอก นอกจากนั้น สิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใครสำหรับจักรกรอกแบบ Free-Sprung Balance ของ Grand Seiko คือ ระบบกลไกที่ควบคุมการทำงานของจักรกรอก (ความแตกต่างในเรื่องของความเที่ยงตรงจะผันแปรไปตามปริมาณลานที่เหลืออยู่ในสปริงลาน) การทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้จะต้องมีการยึดปลายของสปริงสายใยจักรกรอก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดการหมุน ไป-มา ของจักรกรอก และรวมชุดแกนเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความสะดวกในการปรับแต่งจักรกรอกให้หมุนช้าหรือเร็ว สำหรับสปริงสายใยจักรกรอก จะมีรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่าโอเวอร์คอยล์ (Overcoil) และผ่านการทดสอบและจำลองการทำงานมามากกว่า 80,000 ครั้ง ก่อนที่จะมีการตัดสินใจนำมาใช้ ซึ่งรูปแบบใหม่นี้ถือเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการทำงานที่จะส่งผลต่อความเที่ยงตรงอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนตำแหน่งของนาฬิกา
สปริงสายใยจักรกรอก (Overcoil) น็อตยึดจักรกรอก (Balance Screw) จักรกรอก (Balance Wheel)
ชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement
โดยปกติแล้ว จักรกรอกจะมีการแกว่งในระดับ 5-8 ครั้งต่อวินาที แต่สำหรับ 9SA5 กลไกรุ่นนี้อัตราการแกว่งจะอยู่ที่ 10 ครั้งต่อวินาที หรือพูดง่ายๆ คือ การสั่นของจักรกรอกจะเกิดขึ้นในช่วงความเร็วสูง ซึ่งจะมีส่วนในเรื่องของความต้านทานต่อแรงกระแทกที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มความเที่ยงตรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กำลังที่มากขึ้นได้ถูกนำมาใช้กับกลไกรุ่นนี้ และ 9SA5 คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงชุดจักรปล่อยแรง (Escapement) ซึ่งสำหรับชุดจักรปล่อยแรงทั่วไปแล้ว กำลังจะถูกส่งผ่านจากสปริงลานไปยังจักรกรอกผ่านทางจักรปล่อยแรง และชิ้นส่วนที่มีลักษณะคล้ายส้อม (Pallet Fork) ผลที่ได้ก็คือทำให้เกิดความสูญเสียกำลังในระหว่างการส่งผ่านอย่างเห็นได้ชัดเจน สำหรับชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นั้น จะมาพร้อมกับกลไกที่มีการปรับแต่งใหม่ เพื่อควบคุมแรงหมุนในการทำให้จักรกรอกเกิดการเคลื่อนตัวเพื่อไปดันชิ้นส่วนที่เรียกว่า Pallet Stone ซึ่งอยู่ตรงปลายของ Pallet Fork เพื่อส่งกำลังโดยตรงจากจักรปล่อยแรงไปยังจักรกรอก ดังนั้น กำลังที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนจักรกรอกจึงมาจาก 2 ทางคือทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงไม่ทำให้เกิดการสูญเสียกำลังเหมือนกลไกทั่วไป
ตลับลานคู่
แหล่งกำลังของนาฬิกาจักรกลคือ สปริงลานที่อยู่ด้านในของตลับลาน แรงที่เกิดจากการคลายตัวของสปริงลานนั้นจะถูกเปลี่ยนไปเป็นแรงบิดที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนชุดเฟือง สำหรับนาฬิกาจักรกลทั่วไปนั้นจะมีกำลังลานขับเคลื่อนอยู่ประมาณ 2 วันเมื่อสปริงลานถูกขึ้นลานจนเต็ม แต่สำหรับ 9SA5 ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่ขยายขอบเขตของพลังงานสำรองให้อยู่ในระดับ 80 ชั่วโมง สปริงที่มีขนาดยาวขึ้นทำให้กำลังในการขับเคลื่อนกลไกที่นานขึ้น และจำเป็นจะต้องใช้ตลับลานที่ใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกันในการเก็บสปริงลาน แต่สำหรับ 9SA5 ใช้ระบบตลับลานคู่ (Twin Barrel) มีตลับลานขนาดเล็ก 2 ชุดที่ช่วยลดปัญหาในเรื่องพื้นที่ติดตั้งจำกัด การผสมผสานของตลับลานคู่ และการปรับปรุงการส่งกำลังอย่างมีประสิทธิภาพของชุดจักรปล่อยแรงแบบ Dual Impulse Escapement ทำให้การทำงานตลอด 80 ชั่วโมงของกลไกเต็มไปด้วยประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง
ชุดเฟืองส่งกำลังวางตัวในระนาบเดียวกัน (Horizontal Gear Train)
สำหรับกลไกที่มีความบางถือว่ามีความจำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์นาฬิกาให้มีความสะดวกสบายเวลาที่สวมใส่อยู่บนข้อมือ ถ้าเป้าหมายมีเพียงแค่การผลิตนาฬิกาให้มีขนาดที่บางลงเท่านั้นโดยไม่สนใจประเด็นอื่น เราสามารถที่จะมองข้ามในเรื่องของความทนทานไป เพราะนั่นเท่ากับว่าสามารถที่จะใช้ชิ้นส่วนที่มีขนาดบางลงและลดประสิทธิภาพในเรื่องของการเสียดทาน แต่สำหรับ Grand Seiko ไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ กลไก 9SA5 คือ ผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของกลไกลง ที่จะต้องบรรลุทั้งในเรื่องพลังงานสำรองที่นานในระดับ 80 ชั่วโมง และระดับความถี่ในการทำงานถึง 10 ครั้งต่อวินาที และนี่คือสิ่งที่นำไปสู่การยกระดับการจัดวางของชุดเฟือง โดยชิ้นส่วนของเฟืองจะถูกวางเรียงเป็นระนาบเดียวกันเพื่อช่วยลดปัญหาการทับกันของชุดเฟืองและเพิ่มการทำงานสูงสุดแม้จะอยู่บนพื้นที่จำกัด ผลคือ กลไกรุ่นใหม่นี้มีความบางลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับกับกลไกแบบเดิม